เพ็ชรชุมพวงคอมพิวเตอร์

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

The Imitation Game – มนุษย์หรือคอมพิวเตอร์?

The Imitation Game – มนุษย์หรือคอมพิวเตอร์?

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ไม่แน่ใจว่าทุกท่านได้ชมภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตช่วงหนึ่งของคุณอลัน ทัวริ่ง (Alan Turing) ที่มีชื่อเรื่องว่า The Imitation Game กันหรือเปล่า เนื่องจากผมทำงานด้านที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์โดยตรง เมื่อได้เห็นว่าจะมีภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมจึงไม่พลาดที่จะไปชมครับ
The Imitation Game
ผม ได้ยินชื่อคุณอลันมานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียนระดับปริญญาตรีในวิชาทฤษฎีการ คำนวณ (Theory of Computation) ที่สอนทฤษฎีพื้นฐานของวิทยาการคอมพิวเตอร์โดยไม่ยึดกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นแนวความคิดที่เสนอโดยอลัน ทัวริ่ง นั่น เอง แต่จากนั้นก็ไม่เคยได้ศึกษาประวัติหรือผลงานของเขาอย่างละเอียดเลยครับ ดังนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงน่าสนใจสำหรับผมมากที่จะมีโอกาสได้เรียนรู้ ประวัติของเขาไปพร้อมๆ กับความบันเทิงในการรับชมภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่อง The Imitation Game เน้น ไปที่เหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่อลันได้มีโอกาสเข้ามาทำงานใน ทีม Hut 8 ของหน่วยงาน United Kingdom's Government Code and Cypher School (GC&CS) เพื่อไขรหัสข้อความที่เข้ารหัสจากเครื่องอีนิกมา (Enigma) ของทหารเรือเยอรมัน อย่างไรก็ดี ที่ผมสงสัยก็คือไม่ได้มีการกล่าวถึงสิ่งที่ใช้เป็นชื่อหนังว่า “The Imitation Game” เลย
ผมจึง ได้มาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมและได้พบว่า “The Imitation Game” ซึ่งถ้าแปลแบบตรงตัวเป็นภาษาไทยก็คือ “เกมลอกเลียนแบบ” นั้นจัดเป็นหนึ่งในการทดสอบ (เรียกกันว่า Turing Test) ที่ อลัน ทัวริ่งได้เสนอเอาไว้ในเอกสารตีพิมพ์ของเขาชื่อว่า “Computing Machinery and Intelligence (เครื่องจักรสำหรับการคำนวณและปัญญา)” ในปี ค.ศ. 1950 หรือ พ.ศ. 2493 ครับ โดยที่ Imitation Game นั้นเป็นการทดสอบเพื่อตอบคำถามสั้นๆ แต่ลึกซึ้งของอลันที่ว่า “เครื่องจักรสามารถคิดได้หรือไม่? (Can machine think?)” เนื่องจากเกมนี้มีความสับสนเรื่องรูปแบบพอสมควร 
ผมจะขอสรุปกฎกติกาง่ายๆ ประมาณนี้นะครับ
1.เกมนี้มีผู้เล่น 3 คน
2.ผู้เล่น A และ B จะอยู่คนละสถานที่กับผู้เล่น C
3.ผู้เล่น C (เรียกว่า ผู้สอบสวน หรือ Interrogator) จะสามารถสื่อสารกับ A และ B ได้ผ่านทางภาษาเขียนเท่านั้น
4.การสนทนาจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ได้ ไม่มีหัวข้อจำกัด
5.ผู้เล่น A คือคอมพิวเตอร์ ที่พยายามสื่อสารกับผู้เล่น C ให้เหมือนกับคนจริงๆ มากที่สุด
6.หาก ผู้เล่น C ไม่สามารถแยกได้ว่ามีคอมพิวเตอร์อยู่ในกลุ่มผู้เล่น A และ B ถือว่าคอมพิวเตอร์นั้นผ่านการทดสอบ (ผมเข้าใจว่าหมายความถึง คอมพิวเตอร์นั้นตอบคำถามของอลันได้ว่าคอมพิวเตอร์นั้นสามารถคิดได้เหมือน มนุษย์นั่นเอง)

ซึ่ง เกมนี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการทดสอบนี้เนื่องจากมีรายละเอียดที่ ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนหลายอย่าง และได้มีการจัดแข่งขันในแบบที่อลันได้เสนอไว้หลายครั้ง 
ครั้งล่าสุดคือ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมานี่เอง การแข่งขันชื่อ Turing Test 2014 จัดโดยมหาวิทยาลัยเรดดิ้ง ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นการรำลึกการครบรอบ 60 ปีการเสียชีวิตของอลัน ทัวริ่ง โดยมีเครื่องคอมพิวเตอร์ชื่อ Eugene Goostman จากประเทศรัสเซียสามารถชนะการแข่งขันไปได้ แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าผลลัพธ์ที่ได้น่าเชื่อถือเพียงใด เนื่องจากสามารถทำให้ผู้เล่นเชื่อได้เพียง 1 ใน 3 ของผู้เล่นทั้งหมดเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ดี The Imitation Game นี้ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวิทยาการคอมพิวเตอร์ในสาขาปัญญา ประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เป็นเสมือนหนึ่งในเป้าหมายที่ผลักดันให้นักวิจัยรุ่นต่อๆ ไป ทำตามความฝันของอลันที่อยากให้คอมพิวเตอร์คิดให้ได้เหมือนคนจริงๆ มากที่สุดนั่นเอง


อ้างอิง:
    
http://en.wikipedia.org/wiki/Theory_of_computation
    http://en.wikipedia.org/wiki/Bletchley_Park
    http://en.wikipedia.org/wiki/Alan_Turing
    http://en.wikipedia.org/wiki/Turing_test
    Ayse Pinar Saygin, Ilyas Cicekli & Varol Akman, Turing Test: 50 Years Later, Minds and Machines 10: 463–518, 2000.
    http://www.reading.ac.uk/news-and-events/releases/PR583836.aspx 

ฐานข้อมูลกับโลกในยุคที่ข้อมูลมีค่ามากกว่าเงิน

ฐานข้อมูลกับโลกในยุคที่ข้อมูลมีค่ามากกว่าเงิน


สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งนะครับ วันนี้ผมจะมาอธิบายหัวข้อทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์อันหนึ่งที่มีความ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุกท่านเป็นอย่างมาก โดยที่ท่านก็อาจจะไม่ทราบว่ากำลังใช้งานมันอยู่ เจ้าสิ่งนี้เป็นหลักการพื้นฐานที่นักศึกษาด้านคอมพิวเตอร์จะต้องเรียนและ ฝึกฝนจนมีความเชี่ยวชาญ เนื่องจากมีความจำเป็นอย่างมากต่อการทำงานของพวกเขาที่จะเป็นนักพัฒนา ซอฟท์แวร์นั่นเอง เราเรียกสิ่งนี้ว่า “ฐานข้อมูล (Database)” ครับ
ทุกท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่าฐานข้อมูลกันมาบ้างแล้ว แต่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วสงสัยว่า มันมาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของท่านได้อย่างไรหล่ะ ผมบอกได้เลยว่าเกี่ยวข้องอย่างมากเลยครับ ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ ที่ใกล้ตัวเราทุกคนมากก็คือ เฟซบุ๊ค (Facebook) นั่นเอง ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องมีบัญชีเฟซบุ๊คส่วนตัวกันใช่ไหมครับ เมื่อเรามีบัญชีส่วนตัวแล้วเฟซบุ๊คก็จะมีช่องทางหลากหลายที่ให้เรานำข้อมูล ของเราไปแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้เห็น เช่น การอัพเดตสถานะ การโพสต์รูปภาพ การอ่าน และการแสดงความเห็น (comment) กับสถานะหรือรูปภาพของเพื่อนๆ เรา สิ่งเหล่านี้เราใช้งานกันจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วในปัจจุบัน 
อย่าง ไรก็ดี ท่านเคยคิดไหมครับว่า เอ... ข้อมูลทั้งหลายที่เราส่งเข้าไปให้เฟซบุ๊คนั้น มันถูกเก็บไว้ที่ไหนอย่างไร ทำไมเฟซบุ๊คจึงสามารถเก็บข้อมูลเรา (รวมถึงเพื่อนๆ) ได้อย่างมากมายมหาศาล นอกจากนี้ ยังสามารถแสดงข้อมูลของเราได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะเป็นข้อมูลที่ เก็บไว้นานแล้วก็ตาม เช่น ข้อมูลเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เราก็ยังสามารถเรียกดูได้อยู่ แต่ละวันเฟซบุ๊คมีข้อมูลใหม่เป็นปริมาณมากมายมหาศาล ภาพด้านล่างเป็นภาพศูนย์ข้อมูลของเฟซบุ๊คที่ตั้งอยู่ในประเทศสวีเดน ลองจินตนาการดูนะครับว่าขนาดของข้อมูลที่เฟซบุ๊คจะต้องจัดการนั้นใหญ่โตขนาด ไหน หากมีวิธีการจัดการที่ไม่ดีก็จะต้องลำบากแน่ๆ เลยใช่ไหมครับ คำตอบของปัญหานี้ก็คือการจัดการข้อมูลด้วย “ฐานข้อมูล (Database) นั่นเองครับ
ฐานข้อมูล, Database, Facebook
ภาพศูนย์ข้อมูล (Data center) ของ เฟซบุ๊คที่ประเทศสวีเดน โดย Tortap (Own work) [CC BY-SA 3.0 (http://creativecommons.org/licenses/by-sa/3.0)], via Wikimedia Commons
นิยามของคำว่า ฐานข้อมูล ก็คือ โครงสร้างการเก็บข้อมูลทางด้านคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่งที่มีความสามารถในการแบ่งปันการใช้งานข้อมูลได้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้นั่นเองที่ทำให้การเก็บข้อมูลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดครับ มาดูกันว่าฐานข้อมูลทำงานอย่างไร

การทำงานของฐานข้อมูล

ฐานข้อมูล นั้นจะทำงานได้จะต้องมีโปรแกรมที่ช่วยในการบริหารจัดการที่เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management Systems: DBMS) ซึ่งเจ้าระบบจัดการฐานข้อมูลนี้จะเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในฐานข้อมูลในรูปแบบ ดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่เป็นตัวหนังสือ หรือแม้แต่รูปภาพก็ตาม 
จุด เด่นที่ทำให้ระบบจัดการฐานข้อมูลสามารถเก็บและเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างมี ประสิทธิภาพก็คือการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบระเบียบมีโครงสร้างนั่นเอง โดยเก็บข้อมูลในรูปแบบตารางซึ่งประกอบด้วยแถว (row) และสดมภ์ (column) หากท่านนึกไม่ออกให้ลองนึกถึงการเก็บข้อมูลในโปรแกรมไมโครซอฟท์เอ๊กเซล (Microsoft Excel) เป็นตัวอย่างก็ได้ครับ ซึ่งการเก็บข้อมูลในรูปแบบตารางนี้ทำให้สะดวกต่อการเรียกใช้งาน เนื่องจากเราได้แบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อยๆ หลายๆ ส่วน ที่สามารถบันทึกและเรียกดูแยกกันได้ ทำให้มีความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลมากกว่าการเก็บอย่างไม่มีโครงสร้าง หรือการเก็บในโครงสร้างอื่นๆ
ID Name Province
1 สมปอง กรุงเทพมหานครฯ
2 สมหมาย นครสวรรค์
3 สมใจ กรุงเทพมหานคร
4 สมหญิง นนทบุรี
ตัวอย่างโครงสร้างการเก็บข้อมูลในระบบจัดการฐานข้อมูล
จุด เด่นอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญของระบบจัดการฐานข้อมูลก็คือ วิธีการบันทึกและเรียกดูข้อมูลนั่นเอง ระบบจัดการฐานข้อมูลมีวิธีการจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างชาญฉลาด ลองนึกดูว่าถ้าเราเก็บชื่อเพื่อนๆ ของเราในไฟล์ Microsoft Word แล้วเราต้องการหารายชื่อของเพื่อนที่อยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานครฯ ทุกคน เราก็จะต้องไล่ดูไปทีละคนใช่ไหมครับ นั่นทำให้เสียเวลามาก ยิ่งเรามีเพื่อนเยอะเท่าไหร่ รายชื่อของเราก็จะยิ่งยาว แล้วเราก็จะยิ่งเสียเวลาในการไล่ดูจนครบทุกคน 
แต่ ว่าระบบจัดการฐานข้อมูลมีการเก็บข้อมูลอย่างมีโครงสร้างอยู่แล้ว ทำให้สามารถเรียกดูข้อมูลโดยการระบุไปได้อย่างเฉพาะเจาะจงว่า “ต้องการชื่อของเพื่อนทุกคน ที่อยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานครฯ” ซึ่งวิธีการระบุข้อมูลที่เราต้องการแบบนี้จะกระทำผ่านภาษาเฉพาะอันหนึ่งที่ ระบบจัดการฐานข้อมูลเข้าใจได้ ที่เรียกว่า Structured Query Language (SQL) นั่น เองครับ แล้วระบบจัดการฐานข้อมูลก็จะคืนข้อมูลเฉพาะส่วนที่เราอยากได้มาให้ภายในเวลา อันรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น จากตัวอย่างข้อมูลในตารางด้านบน เราจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ครับ
สมปอง
สมใจ

ผลลัพธ์จากการเรียกดูข้อมูลจากระบบจัดการฐานข้อมูลอย่างเฉพาะเจาะจง
(“ต้องการชื่อของเพื่อนทุกคน ที่อยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร”)
ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเพียงหลักการพื้นฐาน ของฐานข้อมูลและระบบจัดการฐานข้อมูลครับ เห็นไหมครับว่าการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้างที่เป็นระบบนั้นสำคัญอย่าง มาก ในการทำให้เราเก็บบันทึกและเรียกดูข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในโลกยุคที่เราเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในรูปแบบดิจิตอลบนเครื่อง คอมพิวเตอร์ ข้อมูลเหล่านี้มีค่าและมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากเป็นตัวขับเคลื่อน ธุรกิจ การเงิน การใช้ชีวิต แม้แต่เงินในบัญชีธนาคารของเราทุกคนก็อยู่ในฐานข้อมูลเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรารู้หลักการทำงานของมันเอาไว้ก็คงไม่เสียหลายจริงไหมครับ หากมีโอกาส ในครั้งต่อๆ ไปผมจะมาเล่าเกี่ยวกับฐานข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดต่อไปนะครับ
สุดท้ายนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรงในวันขึ้นปีใหม่ 2558 ที่จะถึงในเร็วๆ นี้ครับ แล้วพบกันใหม่ครับ



อ้างอิง:
Carlos Coronel, Steven Morris, and Peter Rob, Database Systems: Design, Implementation, and Management, Ninth Edition, Course Technology, 9th Edition (2009)
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/2/20/Facebook_Serverhall_2.jpg
http://en.wikipedia.org/wiki/SQL

แอพ 1Password รหัสผ่านเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

แอพ 1Password รหัสผ่านเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

เพื่อนๆ เคยมีปัญหาเหมือนผมไหมครับ ทุกวันนี้ผมใช้บริการต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต ไหนจะ E-mail, social network, shopping, online banking ซึ่งก็ทำให้ชีวิตผมสะดวกง่ายดายขึ้นมาก แต่ปัญหาที่เจอเป็นประจำก็คือ ทุกๆ บริการเหล่านี้จำเป็นจะต้องให้เราสร้างบัญชีผู้ใช้ (User account) และเพื่อความปลอดภัย แน่นอนว่าแต่ละบัญชีก็จะมีรหัสผ่าน (password) เฉพาะ ที่จะมีกฎเกณฑ์ในการสร้างรหัสผ่านที่แตกต่างกัน แล้วแต่ระดับความปลอดภัยของบริการนั้นๆ ขณะที่บางระบบกำหนดให้มีอักขระและตัวเลข บางระบบก็ต้องให้มีการแทรกอักขระพิเศษเพิ่มขึ้นมาด้วย ความยาวของรหัสผ่านก็ต้องไม่น้อยกว่า 8 ตัวอักษร ฯลฯ โอย … ปวดหัวจริงๆ ว่าไหมครับ นี่ยังไม่รวมถึงรหัสผ่านที่สมัครใช้งานไปนานมากแล้วจนลืมว่าคืออะไร ทำให้เข้าใช้บริการไม่ได้อีกต่างหาก
ผมได้พยายามลองมาหลากหลายวิธีการว่าจะทำ อย่างไรจึงจะง่ายและปลอดภัย ที่สุด เช่น ช่วงแรกๆ คิดว่าเราสามารถที่จะใช้รหัสผ่านเดียวกัน (ที่เดาได้ยาก) กับทุกๆ บริการที่เรามี เพื่อให้สามารถจำรหัสผ่านที่ยากอันนั้นเพียงแค่อันเดียวก็ได้นี่นา แต่ว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วเกิดมีบริการหนึ่งถูกแฮ๊กค์ ก็เป็นไปได้ที่รหัสผ่านของเราจะถูกเปิดเผย และบริการอื่นๆ ที่เราใช้รหัสผ่านเดียวกันไว้ทั้งหมดก็น่าเป็นห่วงว่าจะโดนแฮ๊กค์ไปด้วย
ถ้าอย่างนั้นเราก็เลือกรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำ กันเลยในแต่ละบริการดีไหม จะได้ไม่เกิดปัญหาที่เล่ามา แต่พอผมทำแบบนั้น ผมก็พบว่าผมไม่สามารถจะจดจำรหัสผ่านที่แตกต่างกันทั้งหมดของผมได้ ลงเอยด้วยการต้องจดไว้ที่ใดที่หนึ่ง ในโทรศัพท์มือถือบ้าง สมุดโน้ตบ้าง Post-It บ้าง (แถมแปะไว้ที่หน้าจออีกต่างหาก) แล้วก็คิดได้ว่า ทำแบบนี้ก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน เพราะหากสมุดเราหายไป คนที่เก็บได้ก็สามารถรู้รหัสผ่านเราได้อีก
ถ้างั้นจะทำอย่างไรดีหล่ะ …?
1Password รหัสผ่านเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น, 1Password
วันนี้ผมได้พบตัวช่วยที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ให้ผมและเพื่อนๆ ได้แล้วหล่ะครับ ผมไปพบบริการอันหนึ่งที่เรียกว่า 1Password ที่เป็นบริการที่ช่วยให้เพื่อนๆ สามารถบันทึกรหัสผ่านทั้งหมดไว้ในที่เดียว และปิดล๊อครหัสผ่านเหล่านี้ไว้ด้วย Master Password ที่เราเลือกเองเพียงรหัสผ่านเดียว (ผมคิดว่านั่นคือที่มาของชื่อ 1Password ครับ) ระบบของ 1Password จะใช้รหัสผ่านนี้เปิดให้เราเข้าถึงรหัสผ่านอื่นๆ ที่เราบันทึกเอาไว้ในระบบ
1Password รหัสผ่านเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น, 1Password
1Password สามารถเก็บรหัสผ่านรวมถึงข้อมูลบัตรเครดิตและบัตรประจำตัวอื่นๆ อีกด้วย
สิ่งที่ผมพบว่า 1Password ช่วยได้มากก็คือ หากท่านบันทึกรหัสผ่าน (จากการล๊อกอินเข้าบริการใดๆ ก็ตาม) ไว้ใน 1Password เมื่อเรากลับมาที่บริการนั้นอีกครั้ง 1Password สามารถช่วยกรอกรหัสผ่านของเรากลับเข้าไปให้เองโดยที่เราไม่ต้องพิมพ์ โดยที่เพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถมองเห็นรหัสผ่านของเราครับ 
1Password รหัสผ่านเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น, 1Password
เลือกบริการที่ต้องการ 1Password จะกรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านให้โดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ 1Password ยังสามารถสร้างรหัสผ่านที่มีความแข็งแรงสูง ยากต่อการคาดเดาให้เราได้ด้วย คราวนี้ก็หมดปัญหาเวลาสมัครใช้บริการใหม่ๆ แล้วคิดรหัสผ่านที่ยากๆ ไม่ออกแล้วหล่ะครับ
1Password รหัสผ่านเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น, 1Password
เราสามารถเลือกให้ 1Password สุ่มสร้างรหัสที่ปลอดภัยให้เราได้
เรื่องสุดท้ายที่ผมและคิดว่าก็ทุกคนก็คงกังวลมากที่สุดก็คือ แล้วข้อมูลทั้งหมดของเราที่เก็บไว้กับ 1Password ปลอดภัยมากแค่ไหน เพราะถ้า 1Password โดนแฮ๊กค์ เราก็ถูกเปิดเผยรหัสผ่านทั้งหมดเช่นกันไม่ใช่หรือ? คำตอบคือ ก็ใช่ส่วนหนึ่งครับ เนื่องจาก 1Password ใช้ Master Password ในการปกป้องรหัสผ่านอื่นๆ เพราะฉะนั้น Master Password ของทุกคนควรจะต้องเก็บไว้ให้เป็นความลับมากที่สุด ไม่ควรจดไว้ที่ไหนเลย (ผู้สร้าง 1Password พิมพ์ใส่กระดาษและฝากไว้ในเซฟในธนาคาร) 
อย่างไรก็ดี ถ้าเรามีแค่รหัสผ่านเดียวที่จะต้องจำผมเชื่อว่าเราก็คงพอจะสามารถจำได้ใช่ไหมครับ ความปลอดภัยอีกด้านหนึ่งของ 1Password ก็ คือ 1Password จะไม่เก็บรหัสผ่านของเราไว้ในระบบหรือฐานข้อมูลของบริษัท รหัสผ่านของเราทั้งหมดจะถูกเก็บไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ของเราเอง และจะถูกเข้ารหัสด้วยการเข้ารหัสแบบ AES-256 ที่มีความปลอดภัยสูงอีกด้วยครับ อย่างไรก็ดี หากเราต้องการจะ Sync รหัสผ่านของเราใน 1Password ให้ใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถเก็บรหัสผ่านของเรา (1Password เรียกว่า Vault ซึ่งก็หมายถึงที่เก็บของสำคัญที่มีความปลอดภัยนั่นเอง) ไว้บน Cloud และ Sync ผ่าน Dropbox (ของเราเอง) หรือ iCloud ก็ได้ครับ แต่หากท่านไม่เชื่อถือความปลอดภัยของข้อมูลบน Cloud ก็สามารถเลือก Sync ระหว่างอุปกรณ์ผ่าน Wi-Fi ที่บ้านได้อีกด้วย 
สุดท้ายหากท่านที่ใช้ iPhone รุ่นใหม่ๆ ที่มีระบบตรวจสอบลายนิ้วมือ TouchID ก็สามารถใช้ลายนิ้วมือของท่านเพื่อปลดล๊อค 1Password แทน Master Password ได้เช่นกันครับ
1Password รหัสผ่านเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น, 1Password
1Password จำเป็นต้องใช้ Master Password เพื่อปลอดล๊อครหัสผ่านอื่นๆ ที่เก็บอยู่
ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังปวดหัวกับการจัดการรหัสผ่านนะครับ 1Password มีให้ใช้งานแทบจะครบทุกแพลตฟอร์ม ทั้งบนโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ ก่อนหน้ามีขายที่ราคา $17.99 แต่ว่า ตอนนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีครับ ผ่านทาง https://agilebits.com/onepassword หรือ App Store หากต้องการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือครับ
1Password รหัสผ่านเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น, 1Password
หวังว่าต่อไปการกรอกรหัสผ่านก็คงจะกลายเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ปลอดภัยอย่างที่มันควรจะเป็นครับ :)






อ้างอิงและรูปภาพจาก:
1.https://agilebits.com/onepassword
2.https://blog.agilebits.com/2013/10/03/1password-4-for-mac-is-here/
3.https://blog.agilebits.com/2014/07/16/1password-is-a-very-safe-basket/
4.http://www.theverge.com/2014/9/26/6849461/can-1password-save-your-digital-life-jeff-shiner-david-chartier
5.http://www.macworld.com/article/2053261/1password-4-for-mac-review-state-of-the-art-password-management-for-everyone.html  

อัพรูปขึ้นเฟสบุ๊คอย่างไร ให้สวยที่สุด

สวัสดี ครับ วันนี้ผมจะมาแนะนำเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคน เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไปออกทริปที่ไหนมาทุกคนก็จะต้องพกกล้อง DSLR อย่างดีไปถ่ายภาพสวยๆ กลับมา แล้วก็อัพโหลดขึ้นเฟสบุ๊คเพื่อ อวดเพื่อนๆ ของเรากันใช่ไหมครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ทำอย่างนั้นเช่นกันครับ แต่เกือบทุกครั้งผมพบว่าภาพที่ถ่ายมาอย่างคมชัดสวยงามด้วยกล้อง DSLR ของเรา ทำไมพอเราอัพโหลดขึ้นเฟสบุ๊คแล้วกลับพบว่า เอ... มันไม่สวยอย่างต้นฉบับหล่ะ จนเมื่อไม่นานมานี้ได้มาทราบว่า มีเทคนิคบางอย่างที่เราจะต้องทำก่อนอัพโหลดแล้วจึงจะได้ภาพที่สวยที่สุด มาดูกันครับ
facebook, เฟสบุ๊ค, อัพรูป
เครดิตภาพ: http://fc07.deviantart.net/fs70/i/2011/363/1/f/facebook_creative_cover_by_caiophox-d4kmmep.png

1.ความละเอียดของภาพถ่าย (Resolution)

เฟสบุ๊คบอก ไว้ว่า หากภาพที่เราอัพโหลดขึ้นไปมีขนาดความละเอียดใหญ่เกินมาตรฐาน ระบบจะย่อขนาดไฟล์ภาพของเราที่อัพโหลดขึ้นไปให้เองโดยอัตโนมัติ (ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพื้นที่เก็บข้อมูลของเขา) แต่ปัญหาก็คือเจ้าระบบย่อขนาดไฟล์ภาพอัตโนมัติของเฟสบุ๊คนี่หล่ะครับ ที่ทำให้รูปของเพื่อนๆ ถูกลดทอนความสวยงามลงไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากการลดขนาดภาพลงจะทำให้รายละเอียดหายไป และทำให้รูปของเราออมาไม่สวยอย่างที่ควรจะเป็น 
แต่อย่างไรก็ดีเขาได้มีทางแก้ไขไว้ให้เพื่อนๆ ตากล้องตัวจริงที่ไม่อยากให้รูปของเราถูกย่อโดยระบบของเฟสบุ๊คครับ โดยที่หากเราต้องการให้ภาพของเราไม่ถูกย่อขนาดและออกมาสวยงามที่สุด ควรจะต้องเลือกให้ภาพของเรามีขนาดดังต่อไปนี้ครับ
ภาพถ่ายปกติ 720 px, 960 px หรือ 2048 px
ภาพ Cover photo 851 x 315 px
เพราะฉะนั้น อย่างแรกที่ทุกท่านควรจะทำก่อนอัพโหลดภาพก็คือ ตรวจสอบว่าขนาดภาพของเราเกิน 2048 px หรือไม่ ซึ่งกล้องดิจิตอลสมัยใหญ่ส่วนใหญ่จะถ่ายภาพออกมาขนาดใหญ่กว่า 2048 px แน่ๆ เราก็จะต้องปรับขนาดลงมาให้เป็นไปตามสัดส่วนที่เฟสบุ๊คกำหนดไว้ คือ 720 px หรือ 960 px หรือ 2048 px ก็ได้ ก่อนครับ ขนาดที่ว่านี้นับด้านที่ยาวที่สุดของรูปนะครับ 
ตัวอย่าง เช่น รูปด้านล่างนี้ หากผมต้องการอัพโหลดขึ้นเฟสบุ๊ค ผมจะต้องลดขนาดลงให้ด้านยาวสุดของรูปในแนวนอน มีขนาด 2048 px ครับ ส่วนด้านที่สั้นกว่าก็สามารถสั่งให้โปรแกรมตกแต่งภาพปรับขนาดให้ตามสัดส่วน ได้ครับ
facebook, เฟสบุ๊ค, อัพรูป
เครดิต ภาพ: "Zabriskie Point-Panarama-edit2" by Daniel Mayer - Own work by Daniel Mayer. Licensed under CC BY-SA 3.0 via Wikimedia Commons - http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Zabriskie_Point-Panarama-edit2.jpg#mediaviewer/File:Zabriskie_Point-Panarama-edit2.jpg

2.เพิ่มความคมชัดของภาพถ่าย (Sharpness)

แต่ เดี๋ยวก่อน แค่ย่อขนาดยังไม่พอครับ ผมยังมีอีกเทคนิคหนึ่งที่ช่วยให้ภาพของเราดูคมชัดเหมือนต้นฉบับหลังจากที่ ย่อขนาดลงมาแล้วด้วยครับ เราจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า Unsharp Mask กัน ก่อนจะไปดูว่าทำอย่างไรนั้น เรามาดูว่าเจ้า Unsharp Maks มันคืออะไรกันก่อนดีไหมครับ
facebook, เฟสบุ๊ค, อัพรูป
เครดิต ภาพ: "Usm-unsharp-mask" by Nevit Dilmen - Own work. Licensed under Public Domain via Wikimedia Commons - http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Usm-unsharp-mask.png#mediaviewer/File:Usm-unsharp-mask.png
เทคนิคการตกแต่งภาพถ่ายที่เรียกว่า Unsharp Mask นั้น คือ เทคนิคการเพิ่มความคมชัดของภาพโดยการนำส่วนที่ไม่ชัดของภาพนั้นๆ (Unsharp) หักลบออกไปจากภาพต้นฉบับ (เรียกว่าการทำ Masking) นั่นเอง ลองดูภาพด้านล่างเพื่อความเข้าใจมากขึ้นกันนะครับ

เครดิตภาพ: http://www.cambridgeincolour.com/tutorials/unsharp-mask.htm
ใน ขั้นตอนแรก Unsharp Mask (C) จะถูกสร้างขึ้นจาก ภาพต้นฉบับ (A) และ ภาพก๊อปปี้ของต้นฉบับที่ถูกทำให้เบลอ (B) คิดง่ายๆ ก็จะเหมือนกับว่าเราหาส่วนต่างของทั้งสองภาพนี้นั่นเองครับ ได้ออกมาเป็นขอบของวัตถุ ดังที่เห็นในภาพ C
facebook, เฟสบุ๊ค, อัพรูป
เครดิตภาพ: http://www.cambridgeincolour.com/tutorials/unsharp-mask.htm
จากนั้นเจ้า Unsharp mask นั้น ก็จะถูกนำกลับมาหักออกจากภาพต้นฉบับ ส่งผลให้บริเวณขอบของวัตถุ (ในที่นี้คือตัวหนังสือ) มีความคมชัดมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราเปรียบเทียบภาพด้านบนหลังจากทำ Unsharp mask แล้ว กับภาพต้นฉบับก็จะเห็นว่ามีความคมชัดที่ขอบตัวหนังสือมากขึ้นพอสมควร
เล่าถึงทฤษฎีกันไปพอสังเขปแล้วก็มาถึงวิธีการทำกันดีกว่าครับ ผมจะขอยกตัวอย่างการทำ Unsharp mask ด้วย Photoshop นะครับ มีอีกหลายๆ โปรแกรมสามารถทำได้เช่นกันครับ
เริ่มจากเปิดภาพขึ้นมาใน Photoshop แล้วเลือกไปที่ Filter > Sharpen > Unsharp Mask
facebook, เฟสบุ๊ค, อัพรูป
จากนั้น จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้ปรับค่าของ Unsharp Mask ให้เลือก ปรับได้ตามชอบครับ ส่วนตัวผมใช้ Amount = 200, Radius = 0.2, Threshold = 0 ครับ ตามคำแนะนำของช่างภาพจาก pixpros.net (http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=503)
facebook, เฟสบุ๊ค, อัพรูป
สุดท้ายก็คือ ไม่ควรจะย่อขนาดภาพทีเดียวจากขนาดใหญ่มากๆ เหลือ 2048 px เพราะจะทำให้สูญเสียรายละเอียดหลายอย่างไป ควรจะค่อยๆ ย่อภาพลงทีละ 500 px พร้อมกับทำ Unsharp Mask ในทุกๆ ครั้งที่ย่อด้วยครับ จนกว่าจะได้ภาพขนาด 2048 px ตามที่ต้องการ
เท่านี้เราก็จะมีภาพถ่ายสวยๆ พร้อมอัพโหลดขึ้นเฟสบุ๊คให้เพื่อนๆ ได้เชยชมกันแล้วหล่ะครับ





อ้างอิง:
1.http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=503
2.http://www.cambridgeincolour.com/tutorials/unsharp-mask.htm
3.http://en.wikipedia.org/wiki/Unsharp_masking\
4.http://fc07.deviantart.net/fs70/i/2011/363/1/f/facebook_creative_cover_by_caiophox-d4kmmep.png
5.How can I make sure that my photos display in the highest possible quality? https://www.facebook.com/help/266520536764594 

Microsoft Word Add in Tabs


เพิ่มคุณสมบัติแท็บในโปรแกรม Microsoft Word 2007 และ 2010

ถ้าคุณใช้ Microsoft Office 2007 หรือ 2010 นี่คือสิ่งที่น่าสนใจในการนำไปใช้งาน
โดยค่าเริ่มต้น Microsoft Word จะไม่ให้ใช้คุณลักษณะแบบแท็บและถ้าคุณเปิดแฟ้มเอกสารหลาย ๆ เอกสารพร้อมกันจะเป็นการเปิดในหลายหน้าต่าง 
ซึ่งในเว็บเบราว์เซอร์ คุณลักษณะ Tab จะช่วยให้เราดูเอกสารได้ง่ายขึ้่นและใน Microsoft Word ละทำได้ไหม ? 

เพื่อให้คุณสามารถเปิดแฟ้มเอกสารทั้งหมดในหน้าต่างเดียวและสามารถควบคุมระหว่างเอกสารอย่างง่ายดายและรวดเร็วโดยใช้ตัวช่วยแท็บ วันนี้เรากำลังแบ่งปันฟรี add - in สำหรับ Microsoft Word 2007 และ 2010 ซึ่งมันจะเพิ่ม Tab ใน Word ให้กับเรา

"Microsoft Word Addin Tabsเป็น add - in สำหรับ Word ซึ่งจะช่วยให้ทำงาน Tab ใน Word 2007 และ 2010

เพิ่มแถบสถานะของแต่ละไดรฟ์บน XP


Vista Drive Status แถบสถานะแถบเล็ก ๆ อยู่ตรงด้านล่างของแต่ละไดรฟ์


หลาย ๆ คนคงจะทราบว่า Windows Vista และ 7 จะมีแถบสถานะแถบเล็ก ๆ อยู่ตรงด้านล่างของแต่ละไดรฟ์ใน Windows Explorer หากคุณยังคงใช้ XP และเห็นว่ามันน่าใช้ดีและต้องการใช้ฟังก์ชันการทำงานนี้ จะแนะนำยูทิลิตี้ที่น่าสนใจ
ยูทิลิตี้ที่เรียกว่า "Vista Drive Status " มันถูกพัฒนาโดย "elektrownik 
ต่อไปนี้เป็นภาพหน้าตัวอย่าง




เพียงแค่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ได้โดยใช้ลิงก์ด้านล่าง จากนั้นแตกไฟล์ Zip และเรียกใช้จากไฟล์ " vsdrv.exe
จะเพิ่มแถบสถานะด้านล่างไอคอนไดรฟ์ใน XP Explorer โดยอัตโนมัติ
Link Download

ถ้าคุณต้องการเอาแถบสถานะไดรฟ์ที่ทำงานเพียงให้เลือกที่ไฟล์ " uninstall.cmd " และเรียกใช้งานไฟล์นี้จากโฟลเดอร์เดี่ยวกันนี้ เอาไปแต่งกันนะครับน่าสนใจดี

ComboFix จัดการไวรัสม้วนเดียวจบ


แนะนำกันสำกรับท่านที่เลี้ยงไวรัสเป็นฟาร์มเอาไว้อวดชาว บ้านพวกไวรัสกวนใจต่างๆเงียบกริบเลยรับรองสำหรับเครื่องของใครที่มีไวรัส ชุมนุมอยู่ รับรองใช้ ComboFix ม้วนเดียวจบ

ผมไปโดนไวรัสจากการ์ดของกล้องเข้าให้ ใครจะไปคิดว่าการ์ดของกล้องจะติดไวรัสได้ ลืมนึกไปว่าเดียวนี้คนมักชอบถอดการ์ดมาเสียบตรง ๆ กับคอมในการก๊อบรุปมากกว่า โดนเข้าให้ autorun.iy อาการอย่างรุนแรงมันดันไปสั่งให้โปรแกรม antyvirus NOD แสนรักเดี้ยงไปซะงั้น ทำไงดีลงวินโดวส์ใหม่ก็ไม่หาย ไปเจอยาดีเข้าให้ครับมมันคือโปรแกรมล้างสิ่งแปลกปลอมจากเครื่องเราที่ชื่อ ว่า ComboFix
ของเค้าดีจริงๆ เลยนำมาแนะนำกันสำกรับท่านที่เลี้ยงไวรัสเป็นฟาร์มเอาไว้อวดชาวบ้าน หะๆ พวกไวรัสกวนใจต่างๆเงียบกริบเลยรับรองสำหรับเครื่องของใครที่มีไวรัสชุมนุม อยู่ รับรองใช้ ComboFix ม้วนเดียวจบ
ไวรัส สปายแว โทรจัน ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ของคุณครับโปแกรมนี้จะรันบน DOS ถือว่ามีความชัวรมากครับ คอมโบฟิก ถ่ายพยาธิ ออกไปเยอะหล่ยตัวครับ อาทิ เช่น

startdrv.exe


Svchost.exe


Explorer.EXE


nvsvc32.exe


spoolsv.exe


autorun ตระกูลต่างๆ ทั้งหมด


Program FilesHPDigital Imagingbinhpqtra08.exe


wscntfy.ex


Opera.exe


HijackThis.exe


และ อื่นๆๆอีกเพียบครับ

 การ ดาวน์โหลดไฟล์ให้ไปที่ http://www.bleepingcomputer.com/download/anti-virus/combofix จากนั้นเลือกตรง Download location จะมีสองลิงค์ให้เลือกโหลดครับ
มาดูขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมกันดีกว่าครับ ต้องเข้าไปเปิดการทำงานหรือเรียกใช้ใน seft mode นะครับการเข้า ก็ืคือเมื่อเราเปิดเครื่องให้กด F8 ย้ำไว้ มันจะไปยังหน้าต่างถามให้เราเลือก SEFT MODE ดังรุปด้านล่าง กรุณาอย่าเปิดโปรแกรมไดก็ตามครับในขณะที่ ComboFix ทำงานอยู่

จากนั้นเมือเครื่องเข้าสู่ seft mode ให้เปิดไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาเลือกที่ run

Windows Open File Security Warning

เลือกที่ I agree เพื่อตกลง และเริ่มการทำงานโปรแกรม

ComboFix Disclaimer screen

มันจะทำการตรวจสอบและติดตั้งตัวเองลงในระบบ

ComboFix is backing up the Windows Registry

ให้เราเลือกที่ yes เพื่อเข้าสุ่การทำงานขั้นต่อไป

ComboFix Recovery Console

ต่อไปก็จะขึ้นหน้าแสดงผลการติดตั้งให้เลือกที่ yes เพื่อสั่งการทำงานโปรแกรมในการสแกนระบบ

ComboFix Recovery Console Finished

ขั้นตอนนี้จะเป็นการสแกนระบบแล้ว สักพักหนึ่งละครับกว่าจะเสร็จ

Stages of the ComboFix AutoScan

ถ้าขึ้นหน้าด้านล่างนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขบวนการ

ComboFix is preparing the log report

สังเกตุรูปด้านล่างจะมี path บอกที่อยู่ของไฟล์รายงานผลการสแกนอยู่ที่ c:\Combofix.txt ถ้าอยากรู้ว่าโดนอะไรไปมั้งหรืออะไรที่มันแฝงอยู่ บางท่านที่สร้างฟาร์มไวรัสไว้ดูเล่น ระวังขนลุกนะครับ หะๆ

ComboFix is almost done!

แสดงรายการไว้รัส และ สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่ค้นพบ

ComboFix Log File

ส่วนมากแล้วโดยรวมไวรัสประเภทที่ติดต่อจากทางแฮนดี้ไดรว์หรือแฟลชไดรว์จะ เป็นสาเหตุหลักของการติดต่อกัน ไวรัสพวกนี้จะก่อนกวนเครื่องเรา โดยการทำงานตลอดเวลา อีกทั้งยังปิดการทำงานบางอย่างของวินโดวไปเช่น Folder option , Task manager  ไม่ให้ใช้การได้ถ้าเกิดเครื่องของท่านเป็นเช่นนี้ใช้  ComboFix ไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน

เคล็ดลับและไม่ลับที่ดีใน Windows 7


ตอนนี้ทุกท่านคงคุ้นเคยและใช้งานกันอย่างคล่องแคล่วแล้ว สำหรับ windows 7 วันนี้ผมมีเคล็ดลับและเทคนิคที่ทำให้ Windows 7 เจ๋งขึ้นมาฝากกัน

เคล็ดลับและเทคนิคที่ดีใน Windows 7 


ตอนนี้ทุกท่านคงคุ้นเคยและใช้งานกันอย่างคล่องแคล่วแล้วสำหรับ windows 7 วันนี้ผมมีเคล็ดลับและเทคนิคที่ทำให้ Windows 7 เจ๋งขึ้นมาฝากกัน ในบทความนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่อินเตอร์เฟซของ Windows 7 ที่ให้คุณเริ่มต้นไปสู่การเป็นผู้ใช้ Windows 7 อย่างเชี่ยวชาญยิ่งขึ้นไปอีก

1 ใช้แป้นพิมพ์เป็นคำสั่งลัด


การใช้เมาส์อาจจำยอดเยี่ยมกว่าีคีย์บอร์ดมากในการใช้งานทั่วๆไป แต่ถ้าหากใช้แป้นพิมพ์ไปด้วยมันคงจะเจ๋งเข้าไปให้ ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของคำสั่งที่ใช้ด้วย แป้นพิมพ์ลัด

Win+ลูกศาซ้าย และ Win+ลูกศรขวา เป็นการเลื่อนรายการที่ ที่ dock ของวินโดวส์ไปทางซ้ายหรือขวา
Win + ลูกศรบน และ Win + ลูกศรลง เป็นการย่อ หรือเรียกคืนหน้าต่างที่เปิดใช้งานอยู่
Win + M ย่อทุกหน้าต่างที่เปิดอยู่
Alt + ลูกศรขึ้น , Alt + ลูกศรซ้าย , Alt + ลูกศรขวา เป็นการเรียกไปที่โฟลเดอร์หลักหรือเรียกกลับ และส่งต่อผ่านโฟลเดอร์ใน Explorer
Win + Home ย่อและเปิดหน้าต่างทั้งหมดยกเว้นหน้าต่างที่ใช้งานอ
Alt + Win + # เข้าถึงรายการของโปรแกรม '#' บน task bar เครื่องหมาย # แทนตัวเลขลำดับที่ของโปรแกรมที่เปิดอยู่

2.การเรียงไอคอนบน System Tray


SystemTray

คุณสามารถจัดเรียงไอคอนบนทาสก์บาร์ตามที่คุณต้องการ หรือสลับการทำงาน ของโปรแกรม ยังสามารถจัดเรียงไอคอนถาดระบบ เรียงลำดับหรือย้าย ซึ่งการเรียงลำดับจะเป็นการเรียกใช้งานตามลำดับด้วยซึ่งสามารถซ่อนหรือไม่ แสดงไอคอนที่เราต้องการทำให้เรียกใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย

3 การเข้าถึงรายการทางลัดด้วยปุ่มซ้ายของเมาส์


รายการของโปรแกรมต่างๆที่ task bar จะเรียกขึ้นมาเมื่อคุณคลิกขวาบนไอคอนแถบงาน แต่ยังสามารถเข้าถึงได้โดยคลิกที่ เมาส์ปุ่มซ้ายและลากขึ้นไป หากคุณใช้ทัชแพดแล็ปท็อปหรือหน้าจอสัมผัส จะอำนวยความสะดวกสบายเพราะคุณจะได้ไม่ต้องคลิกปุ่มใด ๆ เพียงลากมัน เจ๋งเลยละ

 

4 เพิ่มโฟลเดอร์ใด ๆ ในรายการโปรด


AddToFavorites

คุณสามารถเพิ่มโฟลเดอร์ใด ๆ ไปยังส่วนของรายการโปรดใน Windows Explorer เมื่อต้องการเพิ่มโฟลเดอร์ให้นำทางไปยังใน Explorer, คลิกขวาที่ Favorites  รายการในบานหน้าต่างนำทางด้านซ้ายและเลือก Add current location to Favorites  เพียงเท่านี้โฟลเดอร์ที่เราใช้บ่อยๆก็จะหาง่ายขึ้นและเรียกใช้ได้สะดวกมากขึ้น

 

5 ปักหมุด โฟลเดอร์ที่ใช้บ่อยในแถบงาน


เป็นการสร้างทางลัดอีกแบบหนึ่งให้เข้าถึงไฟล์และโฟลเดอร์ที่ใช้บ่อย ๆ ได้ง่ายขึ้น ให้ทำการคลิกขวาลากและโฟลเดอร์ที่ที่ใช้งานบ่อยๆไปไว้ที่ Windows Explorer บนแถบงาน ทีนี้เมื่อคุณคลิกขวาบน Explorer ที่ให้คุณเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วไปยังโฟลเดอร์นั้น ๆ

 

6 ปักหมุด Control Panel ที่แถบงาน


PinControlPanel

คุณไม่สามารถ ปักหมุด แผงควบคุมเพื่อใช้งานแถบงานผ่านทางเมนู Start โดยการลากและวางประโยชน์จากการนี้เป็นรายการไปแผงควบคุมที่ช่วยให้การเข้า ถึงอย่างรวดเร็ว

 

7 สร้างแป้นพิมพ์ลัดสำหรับการเข้าถึงโปรแกรม


คุณสามารถสร้างแป้นพิมพ์ลัดสำหรับการเข้าถึงโปรแกรมใด ๆ ใน Windows 7 โดยให้ทำการคลิกขวาที่ไอคอนของโปรแกรมและเลือก Properties เลือกแท็บ Shortcut  จากนั้นในช่อง Shortcut key จะ เป็นการตั้งค่าแป้นพิมพ์ลัดสำหรับโปรแกรมที่ต้องการให้พิมพ์เข้าไปได้เลยดัง แสดงในรูปด้านล่างครับ เราก็จะเข้าถึงโปรแกรมนั้น ๆ ได้ด้วยการพิมพ์ตามที่ได้ตั้งค่าไว้แล้ว

ProgramShortcutKey

8 ใช้คำสั่ง Command Prompt ในการเปิดในโฟลเดอร์ใด ๆ


หากใครชื่อชอบการใช้งานคำสั่งจัดการแฟ้มผ่าน Command Prompt แล้วละก็ให้ทำการกดปุ่ม Shitft เมื่อคลิกขวาบนโฟลเดอร์ที่จะได้รับตัวเลือกที่ในเมนูขึ้นมา ยังใช้งานบนเดสก์ทอป แต่หากใครที่ไม่รู้จักมันก็ข้ามไปได้เลยสำหรับพวกฮาร์ดคอร์

ExpandedContextMenu

9 ขยายเมนู 'Send To' ทั้งหมด


บางทีที่เราต้องการจะส่งโปรแกรมหรือไฟล์ใด ๆ ไปด้วยเมนู send to คำสั่งบางอันอาจโดนย่อไว้แ้ก้ได้้ด้วยการกดปุ่ม Shift เมื่อคลิกขวาบนโฟลเดอร์ ก็จะได้รับการขยายตัวคำสั้งทั้งหมดที่ส่งไปยังเมนู

 

10 ปรับหน้าจอ Clear Type เพื่อการแสดงผลที่ดีขึ้น

การปรับแต่งนี้สำหรับบนจอ LCD ของคุณหรือหน้าจอแล็ปท็อปให้เข้าที่ Run จากเมนู Start จากนั้นพิมพ์ว่า cttune.exe  ในกล่องค้นหาหรือไปที่ Control Panel และเลือกการ Adjust ClearType Text ก็จะเข้าสู่หน้าปรับแต่งให้เลือกการแสดงผลที่เหมาะกับเรามากที่สุดจะได้ถนอมสายตาด้วย


จูนเนอร์ ClearType

11 กำหนดค่าของปุ่มเพาเวอร์


ถ้าคุณรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณบ่อยๆ การเปลี่ยนค่าเริ่มต้นการใช้งานปุ่มเพาเวอร์คงจะเป็นสิ่งดีไม่น้อยเพราะค่า เริ่มต้อนของมันก็คือ shutdown ซึ่งเป็นการปิด ให้ทำการโดยคลิกขวาที่ปุ่ม Start  ให้เลือก Properties และเลือก Power button action ที่ คุณใช้มากที่สุดในที่นี้คงเป็น restart จากนี้เมื่อคลิกที่ปุ่มปิดมันจะเป็นการรีสตาร์ทแล้ว หรือจะกำหนดออฟชั้นอื่น ๆ เป็นค่าเริ่มต้นก็ได้

StartMenuProperties

12 การกำหนดจำนวนรายการในรายการทางลัดและเมนูเริ่ม


ส่วนนี้คงเหมาะสำหรับคนที่รู้สึกว่าเมนูต่าง ๆ ในรายการทางลัดมันแกะกะ เกินไป หากคุณเป็นเช่นนั้นให้ทำการคลิกขวาที่ Start เลือก Properties ให้คลิก Customize  และเลือกจำนวนของโปรแกรมล่าสุดที่จะแสดงในเมนูเริ่ม และจำนวนรายการที่ปรากฏในรายการทางลัดจากเมนู 'เริ่ม' ส่วนขนาดด้านล่าง ในช่อง Jump Lists

 

13 ค้นหาจากอินเทอร์เน็ตด้วย Start Menu


SearchInternetStartMenu

เปิดใช้งานการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจากเมนู Start โดยใช้เบราว์เซอร์เริ่มต้นของคุณเรียก gpedit.msc จาก Start Menu ที่กล่องค้นหาเพื่อเริ่มต้นการแก้ไข Group Policy Editor   ในบานหน้าต่างด้านซ้ายไปที่ผู้ใช้ User Configuration->Administrative Templates->Start Menu and Taskbar. ในบานหน้าต่างด้านขวาคลิกขวาเพื่อแก้ไขและเปิดใช้งาน Add Search Internet link to Start Menu ด้วยการ Enable มันซะ


SearchInternet

14 เพิ่มเมนูวิดีโอในแถบ Start


Windows 7 ไม่ได้สร้างส่วนเชื่อมโยงไปยังวิดีโอของคุณบนเมนูเริ่มในค่าเริ่มต้น ในการ เพิ่มการเชื่อมโยงกับวิดีโอของคุณบนเมนูเริ่มให้คลิกขวาที่ Start เลือก Properties ให้คลิก Customize ในส่วน Videos ที่ด้านล่างเลือกการแสดงผลเป็น Display as a link

เพิ่มรูปถ่าย

น่าจะมีประโยชน์บ้างละครับสำหรับบางท่าน หากชอบใจเชิญติดตามได้ในบทความต่อ ๆ ไป หรือหาอ่านความรู้ของเราย่อยหลังได้ครับ

ตัวช่วยอัตโนมัิติบน windows


Microsoft Fix it troubleshooters จะช่วยให้คุณวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับปัญหาทั่วไปของคอมพิวเตอร์โดยอัตโนมัติ

ใน windows จะมีตัวช่วยแก้ไขปัญหอัตโนมัติอยู่หากเราไม่ติดตั้งพวกแผ่นที่แต่งมาแล้ว ซึ่งส่วนมากจะตัดออกไปซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับมือใหม่หรือท่านที่ไม่ ใช่่เซียนคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันจะค้นหาปัญหาให้เราอัตโนมัติ ต้องบอก่อนว่าต้องไม่เป็นอะไรมากคือเป็นปัญหาที่มันสามารถเข้าใจได้ ตามรายการต่อไปนี้ คือให้ดาวน์โหลดมาติดตั้งบนเครื่องของเราซึ่ีงจะมีรายการแก้ไขอยู่หลาย รายการเหมือนกัน


List of Most Common Microsoft Fix it Troubleshooters

Microsoft Fix it troubleshooters จะช่วยให้คุณวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับปัญหาทั่วไปของคอมพิวเตอร์โดยอัตโนมัติ
เช่นเสียง , Internet, และปัญหาในการพิมพ์

เพียงดาวน์โหลดและเรียกใช้ Mats_run.exe

เมื่อคุณเรียกใช้ไฟล์ Mats_run.exe ตัวช่วยสร้างจะแนะนำคุณในการการแก้ไขปัญหา เมื่อทำการติดตั้งส่วนประกอบที่จำเป็นจากนั้นมันจะทำการวิเคราะห์ คอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อหาปัญหาที่สามารถแก้ไขได้โดยอัตโนมัติ

มาทดสอบแิิอนตี้ไวรัสของเรากันว่ามันยังใช้ได้เป็นปกติหรือไม่



แต่ละเครื่องก็่จะมีโปรแกรม Anti-Virus ของตน แต่เราจะแน่ใจหรือไม่ว่า Anti-Virus ที่ใช้อยู่ทำงานอย่างเป็นปกติ หรือยังใช้ได้อยู่หรือไม่

เป็น ปกติอยู่ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ จะมีโปรแกรม Anti-Virus ติดตั้งประจำเครื่องอยู่ แต่ละเครื่องก็่จะมีโปรแกรม Anti-Virus ของตน แต่เราจะแน่ใจหรือไม่ว่า Anti-Virus ที่ใช้อยู่ทำงานอย่างเป็นปกติ หรือยังใช้ได้อยู่หรือไม่
วันนี้จะมาแนะนำ วิธีการทดสอบ Anti-Virus ที่ท่านทั้งหลายใช้อยู่ว่าจะตรวจจับไวรัสได้ดีหรือไม่ วิธีการง่ายๆ ดังนี้
วิธีการตรวจสอบ Anti virus ในเครื่องของคุณว่าดีแค่ไหน ?
1. เปิดโปรแกรม notpad ขี้นมาเพื่อพิมพ์โค๊ดตรวจสอบลงไป
2. Copy โค้ดด้านล่างไปใส่ใน Notepad ดังแสดงในรูป

X5O!P%@AP[4\PZX54(P^)7CC)7}$EICAR-STANDARD-ANTIVIRUS-TEST-FILE!$H+H*


3. Save เป็นชื่อ virus.com
4. แล้วลองรันดู (เปิดไฟล์ที่เราได้บันทึกไว้ขึ้นมา)
ถ้าเกิดว่า anti virus ตัวนั้นดีจริงก็จะมีการส่งสัญญานเตือนเราหรือลบทิ้งไปโดยอัตโนมัติแต่ถ้าตัว ไหน ที่ขนาด scan แล้วก็ยังไม่เจออันนี้ก็ต้องพิจารณากันหน่อย ว่าควรจะหาแอนตี้ไวรัสตัวอื่น ๆ มาใช้แทนหรือทำหารซ่อมแซมให้มันกลับมาใช้ได้ดังเดิม
ไฟล์ที่เราสร้างนั้นก็คือ virus แต่ว่าไวรัสตัวนี้เป็น virus test ไม่มีอันตรายต่อระบบ computer ใดๆทั้งสิ้นสบายใจในจุดนี้ได้
หวังว่าคงมีประโยชน์นะครับ แต่อย่าเอาไปแกล้งเพื่อนละกัน

เทคนิคง่าย ๆ แต่ไม่ธรรมดาในการซ่อนไอคอนบน Windows


บางทีรูปบนไอคอนบนเดสก์ท๊อปอาจดูแกะกะเกินไป หรืออย่างทำให้ดูเก๋ ๆ ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ในการซ่อนไอคอนบน Windows

บางทีรูปบนไอคอนบนเดสก์ท๊อปอาจดูแกะกะเกินไป หรืออย่างทำให้ดูเก๋ ๆ ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ในการซ่อนไอคอนบน Windows XP
มาดูขั้นตอนการทำกันดีกว่า ทำได้ทั้ง XP และ Windows 7 นะครับ

1 คลิกขวาที่โฟลเดอร์ที่ต้องการจะทำให้มองไม่เห็นรูปไอค่อนบนเดสก์ท๊อปของเรา แล้วไปที่เมนู propperties

2 จะมีหน้าต่าง propperties ขั้นมาให้ไปที่แท็บ Customize เพื่อจะทำการเปลี่ยนไอค่อนให้เป็นแบบว่างเปล่า


3 จากนั้นให้เลือกที่ Chang Icon จะมีหน้าต่างเลือกไอค่อนขึ้นมา จากนั้นให้เราเลือกรูปเปล่า ๆ หรือรูปว่าง ๆดังแสดงในรูปด้านบน เพื่อไม่ให้แสดงไอค่อน ก็ซ่อนไอค่อนนั่นละครับ

4 กด OK ทั้งสองหน้าต่างเพื่อใ้ช้งานที่นี้รูปไอค่อนของเราก็จะหายไปแล้วละ แต่ว่ามันยังมีชื่อของโฟลเดอร์อยู่ ถ้าอย่างให้มันซ่อนไปก็ให้ทำดังนี้ซึ่งผมเคยเอามาฝากกันแล้วทีหนึ่งแต่บาง ท่านอาจขี้เกียจหาทำตามนี้เลยครับ
ให้ทำการ เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ นั้น ๆ  ( รูปตัวอย่างเป็นรูปก่อนการซ่อนรูปไอค่อนนะครับเดียวจะงงหากเอารูปที่ซ่อนมา เป็นตัวอย่าง ) จากนั้นให้ลบชื่อเดิมออกแล้วทำการ กดปุ่ม Alt ค้างไว้ และพิมพ์ 160 จะเป็นรหัสอักขระช่องว่าง
เพียงเท่านี้ ชื่อของ Icon ก็จะไม่ปรากฎ เพื่อเพิ่มความสวยงาม  หากคุณต้องการเปลี่ยนชื่อ ไอคอนลำดับถัดไป ให้ทำตามขั้นตอนที่ 4 ซ้ำไปเรื่อย ๆ
เพราะไม่สามารถตั้งชื่อซ้ำกันได้ ยกตัวอย่างเช่น Icon ลำดับต่อไปให้เปลี่ยนชื่อ โดยกด Alt +160 จำนวน 2 ครั้ง

และวิธีแม้ว่าเราจะตั้งค่าให้แสดง Hidden file มันก็จะไม่แสดงนะครับ งงกันไปละคราวนี้

การแก้ไข FakeSysdef มัลแวร์ตัวแสบ


FakeSysdef เป็นโปรแกรมป้องกันสปายแวร์ปลอม ที่อันตรายมากเนื่องจากมันจะเปิดช่องโหว่ให้เหล่าแฮ็คเกอร์ และ แฮ็คกี้ ทั้งหลายได้เข้าสู่ระบบของเราได้ง่ายขึ้น มาเอามันออกกันดีกว่า

Win32 : FakeSysdef - D [Trj] Trojan เป็นโปรแกรมป้องกันสปายแวร์ปลอม ที่อันตรายมากเนื่องจากมันจะเปิดช่องโหว่ให้เหล่าแฮ็คเกอร์ และ แฮ็คกี้ (อันหลังนี่ตั้งเอาเอง) ทั้งหลายได้เข้าสู่ระบบของเราได้ง่ายขึ้น อยากรู้มากกว่านี้กลับไปอ่านบทความที่ลิงค์ต่อไปนี้ที่ผมเคยหามาฝากกันไว้ แล้ว FakeSysdef มัลแวร์ตัวแสบ


 

มีหลาย ๆ ท่านที่อยากได้วิธีแก้ผมเลยหามาให้ครับ แต่ว่าผมยังไม่ได้ลองทำเองนะครับ เนื่องจากว่าเครื่องผมยังไม่เคยโดนเหมือนกัน แต่ดูจากการแก้ไขแล้วก็ใช้ได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจ ลงวินโดวส์ใหม่เลยครับ ง่ายที่สุด หะๆ


วิธีการดำเนินการอัตโนมัติ Win32 : FakeSysdef - D ลบ [Trj]


การกำจัด Win32 : FakeSysdef - D [Trj] ขอแนะนำให้ใช้การแก้ไขด้วยเครื่องมื่อช่วยในการกำจัดการกำจัดปายแวร์เครื่อง มือกำจัดแบบอัตโนมัติซึ่งโปรแกรมจะทำการสแกนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณและจะ ลบวรัสสปายแวร์และโทรจันโดยอัตโนมัติ วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยและง่าย
ดาวน์โหลดไฟล์ได้จากลิงค์ด้านล่างซึ่งเป็นตัวจัดการสปายแวร์ในการลบ Win32 : FakeSysdef - D [Trj] โดยอัตโนมัติ ซึ่งคือโปรแกรม  Spyware Doctor

ดาวน์โหลดตัวจัดการ Win32 : FakeSysdef - D [Trj]

คำเตือน!" หาก Spyware Doctor ดาวน์โหลดถูกบล็อกโดยไวรัสให้เปลี่ยนชื่อไฟล์เป็น 12345.exe หากยังไม่ได้ให้รีสตารตเครื่องของเราแล้วเข้า seft mode เพื่อดาวน์โหลดไฟล์

ถ้ายังไม่ได้อีกให้ทำการลบด้วยตัวเองตามขั้นตอนด้านล่างต่อไปนี้

วิธีการลบ Win32 : FakeSysdef - D [Trj] ด้วยตนเอง


* ปุ่มกด CTRL + ALT + DEL ร่วมกัน จะเข้าสู่หน้าจอ windows task manager จากนั้นให้ทำการหยุดโพรเซสการทำงานของ Win32 : FakeSysdef - D [Trj] ใน Windows Task Manager ทั้งหมด สักเกตุที่ชื่อครับ

* ถอนการติดตั้ง Win32 : FakeSysdef - D โปรแกรม [Trj] จากหน้าต่าง Add / Remove Programs (ถ้าไม่หยุดโพรเซสสจากขั้นตอนแรกจะถอดมันไม่ออก หรือจะเข้าไปถอดมันออกในเซฟโหมดก็ได้ครับ)

* เปิดหน้าต่างรีจิสทรี โดยใช้คำสั่ง Regedit.exe ที่ start แล้วพิมพ์ในช่อง search ค้นหาและลบ Win32 : FakeSysdef - D [Trj] ในไฟล์รีจิสทรี



* ดำเนินการค้นหาของ Windows โดยพิมพ์ว่า Win32 : FakeSysdef - D [Trj] และลบไฟล์ทั้งหมดที่ตรวจพบ

วิธีนี้อาจจะไม่ได้แน่นอนเพราะเราอาจหาไฟล์และลบมันไม่หมด เวลาที่เปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง มันอาจจะแพร่กระจายอีกทีก็เป็นได้ แนะนำให้ใช้เครื่องมือลบอัตโนมัติคลิกลิงค์ด้านล่างเพื่อดาวน์โหลด Remover ThinkPoint ได้เลยครับ



ดาวน์โหลดตัวจัดการในการลบ Win32 : FakeSysdef - D [Trj]

วิธีที่กล่าวมานั้นผมยังไม่ได้ลองทำเองนะครับ เนื่องจากว่าเครื่องผมยังไม่เคยโดนเหมือนกัน แต่ดูจากการแก้ไขแล้วก็ใช้ได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจ ลงวินโดวส์ใหม่เลยครับ ง่ายที่สุด หะๆ

การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแรม บน XP


เคล็ดไม่ลับที่จะช่วยทำให้ระบบโหลดเคอร์เนลใน Windows XP เอาไปเก็บไว้ในแรมเลย และวิธีการนี้จะช่วยทำให้มีประสิทธิภาพของแรมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

วันนี้หาเคล็ดไม่ลับและไม่ยากจนเกินไปสำหรับ ท่านที่ยังใช้ XP กันอยู่ซึ่งยังคงมีเยอะกว่า 7 ถึงแม่ตอนนี้ผมเองก็อยากหันไปใช้ 7 แต่ด้วยสถานการณ์สุดท้ายก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี มาดูกันต่อซึ่งวิธีนี้ จะเป็นการแก้ไขค่าในรีจิสตรี ที่จะช่วยทำให้ระบบโหลดเคอร์เนลใน Windows XP เอาไปเก็บไว้ในแรมเลย และวิธีการนี้จะช่วยทำให้มีประสิทธิภาพของแรมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
แต่เครื่องที่สามารถใช้งานได้จะต้องมีแรมไม่ต่ำกว่า 256MB ขึ้นไปซึ่งน่าจะเกินกันอยู่แล้วเพราะเดียวนี้อย่างน้อยแต่ละเครื่องก็ต้องมี แรมเกิน 1GB (1024MB) ขึ้นไปอยู่แล้วนอกจากเครื่องที่ท่านใช้จะเก่าอย่างรุนแรง ซึ่งหากยังใช้เครื่องที่ช้าขนาดนั้นได้อยู่ก็คงไม่จำเป็นต้องปรับแต่งอะไร แล้วละ คงไม่มีอะไรช่วยได้แล้วนอกจากซื้อเครื่องใหม่ซะเลย
ขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้เลยครับ

1. เปิดโปรแกรม Registry Editor ขึ้นมา โดยคลิกที่ Start > Run >



ในหน้าต่าง RUN พิมพ์ Regedit กด OK



2. เข้าไปที่
> HKEY_LOCAL_MACHINE
> SYSTEM
> CurrentControlSet
> Control
> SessionManager
> Memory Management 

3. ให้หาคีย์ดังต่อไปนี้ ที่หน้าต่างทางขวงมือ

"DisablePagingExecutive"=dword:00000000
"LargeSystemCache"=dword:00000000




4. เมื่อพบแล้วให้แก้ไข หากไม่มี ให้สร้างคีย์ใหม่ โดยตั้งค่าดังนี้

"DisablePagingExecutive"=dword:00000001
"LargeSystemCache"=dword:00000001


ถ้ามีอยู่แล้วจะมีดังสองหัวข้อดังแสดงในรูปด้านล่าง จากนั้นให้เปลี่ยนค่าโดยคลิกขวาที่หัวข้อทีละอันแล้วเลือที่ modify



เปลี่ยนเลข 0 ตัวสุดท้ายให้เป็นเลข 1



5. รีสตาร์ทเครื่องใหม่ เพื่อให้ค่าที่เปลี่ยนแปลงเริ่มทำงาน

6. หากต้องการให้ค่าต่างๆที่ปรับแต่งไว้กลับเป็นเหมือนเดิม ให้เปลี่ยนจาก 1 ไปเป็น 0